วันอาทิตย์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ผู้พิทักษ์ป่าและผู้พิฆาตป่า



สายลมพัดผ่านเอื่อนเอ่ยกระทบผิวกายท่ามกลางแสงจันทร์ในค่ำคืนที่ส่องสว่าง ยังคงมีบุรุษสามคนนั่งสังสรรค์พอเป็นพิธีเพื่อให้หัวใจได้สูบฉีดเลือดร้อนๆไปทั่วร่างกายพอให้คลายหนาว ลำนำกล่าวขานถึงปัญหาของผู้พิฆาตป่าที่เกิดขึ้นในพื้นที่ของตน บุรุษสองคนแรกนั้นมีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงเนื่องจากเป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้ กับอีกหนึ่งบุรุษเป็นเพียงเจ้าหน้าที่โครงการประชาสัมพันธ์ที่เข้ามาทำงานในพื้นที่เพียง 6 เดือนก็ต้องแยกย้ายกลับถิ่นที่เดิม บุรุษทั้งสามนั่งคุยกันถึงปัญหาดังกล่าว ราวกับว่ามันเป็นเรื่องราวที่สนุกสนาน เรื่องราวระหว่าง ผู้พิทักษ์ป่าและผู้พิฆาตป่า นั่งคุยกันได้พอที่จะทำให้หัวมึนๆจากฤทธิ์สุรา ก็ได้บทสรุปอันหน้าตื่นเต้นกันคือ คืนนี้เราจะออกลาดตระเวน เมื่อไม่มีเสียงคัดค้านจากใครจึงได้แยกย้ายเตรียมตัวสำหรับการเดินทาง เวลาราวสองทุ่มทั้งสามได้พบกันเพื่อพูดคุยถึงเส้นทางเดินทางและวิธีการเข้าจับกุม รวมถึงขั้นตอนๆต่างๆตามลำดับ ซึ่งดูเหมือนขุนเขาลำเนาไพรจะรับรู้การกระทำเพื่อป่าจึงได้ส่งเมฆฝนก้อนใหญ่มากมาเข้าบดบังแสงจันทร์ในทันใดทุกสิ่งทุกอย่างรอบกายก็มืดมิดราวกับว่าเป็นคืนเดือนดับ ทั้งสามตรวจสอบอาวุธซึ่งรวมทั้งหมดแล้วก็มีแค่เพียง ปืนลูกซอง 1 กระบอก กับมีดสำหรับสังหารอีก 2 เล่ม บุรุษคนที่หนึ่งนั้นเป็นหัวหน้าชุดได้รับอาวุธปืน ส่วนอีกสองได้มีดคนละเล่ม อ้อๆ ยังมีกระบองอีก 1 ท่อนที่หยิบได้บริเวณสำนักงานก่อนออกเดินทาง ทั้งสามเริ่มเดินทางโดยใช้เส้นทางป่าละเมาะเล็กๆข้างสำนักงานเพื่อเดินทางไปยังเป้าหมาย ท่ามกลางความมืดที่ไม่สามารถใช้ได้แม้กระทั่งไฟฉายส่องนำทาง กระแทกหินบ้าง ชนกิ่งไม้ใหญ่บ้าง หญ้าบาดบ้าง แต่ด้วยศักดิ์ศรีของ ผู้พิทักษ์ป่า เจ็บแค่นี่ยังนึกกลับการที่ต้องเห็นเพื่อนของเราโดนตัด โดนทำลาย โดนฆ่า เมื่อออกจากป่าละเมาะได้ก็เดินลัดริมรั่วก่อนที่จะใช้ป่ามันสำปะหลังเป็นที่กำบังกาย ต้องบอกว่าเป็นป่ามันฯจริงๆเพราะ ต้นมันสำปะหลัง สูงท่วมหัว เราอาศัยความมืดจากก้อนเมฆเดินไปเรื่อยๆ ทั้งล้ม ทั้งคลาน สุดแสนจะเจ็บจะเหนื่อย แต่ก็ด้วยศักดิ์ศรีอีกนั้นแหละที่ทำให้เรายังคง เดินต่อไปข้างหน้า อย่างไม่ย่อท้อ เดินมาได้สักพักต้องวางแผนการเดินทางใหม่อีกครั้งเมื่อหัวหน้าชุด สังเกตเห็นกระท่อมเล็กอยู่ข้างหน้าและเป็นที่รู้กันดีว่า บุคคลในกระท่อมเป็นพวกเดียวกับ ผู้พิฆาตป่า ทั้งสามจึงต้องเดินอ้อมโลกออกไปอีกทางเพื่อไม่ให้บุคคลภายในกระท่อมรู้ตัวและส่งข่าวบอก ผู้พิฆาตป่าให้หลบหนีได้ มาได้ครึ่งทางบัดนี้ก็เวลากว่า สามทุ่มครึ่งแล้วยังไม่ถึงที่หมาย ทั้งสามหยุดพักที่ริมคลอง การปรึกษาจึงเริ่มขึ้นอีกครั้งว่าจะเลือกที่ไหนระหว่างเป้ามายที่หนึ่งซึ่งต้องไปอีกประมาณ 800 เมตร หรือเป้าหมายที่สองซึ่งเหลืออีกเพียงประมาณ 200 เมตรเท่านั้น บทสรุปออกมาให้เลือกเป้าหมายที่ไกลออกไปอีก 800 เมตร แต่เกิดปัญหาสำคัญคือต้อง ข้ามคลองที่กว้างกว่า 6 เมตร โดยมีท่อนไม้จมน้ำอยู่ให้เดินข้าม สำหรับความลึกไม่สามารถที่จะรู้ได้ หัวหน้าชุดได้ข้ามไปก่อนและถึงเป้าหมายอย่างไม่มีปัญหาหา ตามด้วยบุรุษคนที่สองซึ่งดูกล้าๆกลัวๆ ค่อยๆ คลานข้ามไปอย่างช้าๆ ขณะที่บุรุษคนที่สองกำลังข้ามได้ประมาณครึ่งทาง ได้มีเสียงเร่งจากหัวหน้าชุดให้รีบข้าม เนื่องจากมีรถมอเตอร์ไซด์กำลังเข้ามาใกล้โดยยังไม่รู้แน่ชัดว่าเข้ามาทางไหนเนื่องจากได้ยินแต่เสียงไม่เห็นไฟหน้ารถ นักประชาสัมพันธ์ซึ่งรอข้ามอยู่จึงตัดสินใจใช้ไม้เล็กๆข้างๆในการข้าม เมื่อถึงกลางคลองเหลือบไปมองกับบุรุษร่างใหญ่ข้างๆพลางตบไหล่เบาๆแล้วบอกว่า ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องลน ค่อยๆข้าม แต่ยังพูดไม่ทันจบดี บุรุษร่างยักษ์นั้นก็ตกลงในน้ำพร้อมดึงนักประชาสัมพันธ์ลงไปด้วย พระเจ้าช่วย!!!! น้ำลึกท่วมหน้าอก อีกทั้งคอมแบตที่จมโคลนอีก มองมาจากข้างบนคงเห็นแค่คอ ด้วยความที่คล่องตัวกว่านักประชาสัมพันธ์ได้กระโจนขึ้นจากน้ำและขึ้นฝั่งได้อย่างรวดเร็วแต่ทว่าว่าบุรุษร่างยักษ์ยังคงไม่สามารถขึ้นมาได้และจมลงเรื่อยๆ ในใจเกิดความขบขันกับภาพทุลักทุเลที่เห็นเบื้องหน้าแต่ไร้ซึ่งเสียงหัวเราะที่จะหลุดออกมาเนื่องจากต้องใช้ความเงียบมากที่สุด แค่เสียงตกน้ำก็ดังมากพออยู่แล้ว หลังจากยืนมองอยู่สักพักประมาณว่าแกล้งให้จมไปเรื่อยๆก่อน จึงได้ช่วยบุรุษร่างยักษ์ขึ้นมาด้วยน้ำหนักเกือบ 100 กิโลกรัม ทั้งสูงทั้งใหญ่ สภาพที่ออกมาคงไม่ต้องพูดถึง ไม่สวยงามที่จะคิด คิดได้อย่างเดียวคือ ทุเร...มาก เมื่อขึ้นมาพร้อมหน้าพร้อมตาเสียงรถมอเตอร์ไซด์ก็หายไปแล้ว ทั้งสามจึงเดินมุ่งหน้าไปยังเป้าหมายโดยด่วนที่สุด อีกประมาณร้อยเมตรใกล้จะถึงที่หมายสำหรับดักซุ่มรอ ก็เห็นแสงไฟรถมอเตอร์ไซด์กำลังพุ่งตรงเข้ามาด้วยความเร็ว คำสั่งในตอนนั้นคือ หมอบ หาที่หมอบ ทั้งสามวิ่งมุ่งเข้าไร่มันสำปะหลังที่อยู่ข้างๆ ซึ่งต้นมันสูงเพียงแต่เอวเท่านั้น หัวหน้าชุดและนักประชาสัมพันธ์หมอบลงอาศัยความเงียบอำพรางตัว แต่บุรุษร่างยักษ์ของเรายังคุกเข่าหาที่ลงไม่ได้เนื่องจากร่องที่จะลงไปแอบมันเล็กกว่าตัว คำสั่งย้ำมาให้หมอบ แต่คนที่ยังคุกเข่าก็ยังคุกเข่าอยู่หาที่ลงไม่ได้ เสียงปืนลูกซองขึ้นลำบอกให้รู้ว่าเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ ซึ่งเป็นวินาทีเดียวกับที่นักประชาสัมพันธ์คลานไปกระชากคอบุรุษร่างยักษ์ให้ลงมาหมอบ เสียงดัง อั๊ก คางกระแทกกับพื้นดิน ภาพที่เห็นสงสารก็สงสาร ขำก็ขำเจ็บแทนเลย แต่ยังคงต้องเงียบ ผ่านไปไม่ถึง 1 วินาที รถมอเตอร์ไซด์ก็วิ่งผ่านไป “1 2 3 คัน เสียงพึมพำของนักประชาสัมพันธ์ ผู้พิฆาตป่าเข้าไปแล้ว 3 คัน 6 คน และแล้วการดักรอก็เริ่มขึ้นท่ามกลางเนื้อตัวที่เปียกเหม็น เรียกยุง และ มด ให้มารุมตอม เวลาผ่านไปจากสี่ทุ่มกว่าๆบัดนี้เวลาประมาณเที่ยงคืนครึ่งแล้ว เสียงรถมอเตอร์ไซด์พร้อมหมาของผู้พิฆาตย้อนกลับออกมาทางเก่า ทั้งสามเตรียมพร้อมที่จะเข้าจับกุม เสียงปืนขึ้นลำ มีดในปลอกถูกปลอดออก หัวใจนักประชาสัมพันธ์เต้นรั่วดั่งกลองศึก ไม่ใช่เพราะกลัวแต่เพราะตื่นเต้นที่จะได้เจอแบบ 6 ต่อ 3 แต่ทว่าสิ่งที่เห็นเบื้องหน้าเป็นเพียงรถมอเตอร์ไซด์เปล่าๆมีคนขี่เพียงคนเดียวกับหมาที่วิ่งตาม ทั้งสามจึงต้องให้ความมืดและไร่มันเป็นที่กำบังต่อไป ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เสียงหมาของผู้พิฆาตป่าได้เห่าดังลั่นจากเส้นทางซึ่งเป็นเป้าหมายแรกก่อนข้ามคลอง โอ้! โดนหลอกหรือ คำถามเกิดขึ้นในใจ เมื่อทั้งสามมองหน้ากันก็ออกจากบริเวณนั้นวิ่งต้องไปยังจุดที่กำเนิดเสียงทันที ถ้าไม่ข้ามคลองมีทางเดียวคือ วิ่งลัดป่าหญ้าคา ไม่มีการลังเล ด้วยศักดิ์ศรีของผู้พิทักษ์ป่า ทั้งสามวิ่งเข้าไปโดยไม่กลัวเจ็บ หญ้าคาเมื่อสัมผัสกับผิวก็ทำให้เลือดไหลด้วยไม่มีความรู้สึกเจ็บเลยสักนิด ในใจหวังเพียงแต่ว่าจะหยุดการกระทำตรงหน้าให้ได้ เมื่อถึงที่หมายเหลือแค่เพียงรอยรถลากซึ่งเพิ่งลากออกไปใหม่ๆ เพื่อน ของเราถูกลากออกไปเสียแล้ว พลันท้องฟ้าที่มีเมฆหน้าบดบังก็สว่างขึ้นฉับพลันราวกับรู้ว่า ภาระกิจล้มเหลว ทั้งสามมองหน้ากันแล้วก็เดินกลับอย่างมีหวังว่าสักวัน ผู้พิทักษ์ป่า และ ผู้พิฆาตป่า คงจะได้พบหน้ากันจังๆสักครั้ง สำหรับนักประชาสัมพันธ์เองในใจคิดว่า นี้หรือที่บอกว่าจะให้ใช้ ปาก แทน ปืน เพราะอะไรกันเล่า เพราะความจนหรือเพราะความละโมบไม่รู้จักพอของคนเรา

แต่สำหรับเราเหล่าผู้พิทักษ์ป่ามีเพียงความรัก ให้ผืนป่า ต้นไม้ สัตว์ป่ามีเพียง ความฝัน ว่าป่ายังจะต้องเป็นป่าต่อไป แม้จะเป็นเพียงฝันลมๆแล้งๆ มีเพียง ความหวัง ว่าสักวันป่าจะกลับมาสวยงามและคนเห็นค่าในผืนป่า มีเพียง กำลังใจ เพื่อนร่วมทางที่ก้าวเดินไปข้างกัน และมีเพียง ศรัทธา ที่ทำให้ยืนหยัดอยู่ได้โดยไม่ถอยหนี